เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราเกิดมา ต่างคนต่างเกิดมา เห็นไหม แต่เกิดมาแล้วมาอยู่ในสังคมร่วมกัน สังคมของเราสังคมของชาวพุทธ เวลาตั้งใจจะทำบุญกุศลกัน มันก็ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างมีความมุ่งหมาย ความมุ่งหมายของคน เห็นไหม ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อนี่มันทุกข์มันยาก ทุกคนก็ยังมาติดทุกข์ติดยากอยู่ แล้วพยายามจะปลดจากทุกข์จากยากไง แล้วปลดจากทุกข์จากยากมันปลดผิดที่ ไปปลดแต่ที่ว่าสิ่งที่เราต้องการปรารถนาว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ เพราะอะไร? เพราะใจเราไปหมาย พอใจเราส่งออกไปหมายว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ของเรา สิ่งนี้เป็นทุกข์ของเรา

มันไม่มีอะไรเลย สิ่งนั้นมันเป็นเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง แต่หัวใจเป็นทุกข์ เห็นไหม ดูสิเวลาเราใส่บาตรกัน นี่เรากลัวร่างกายสกปรก ทุกคนต้องกลัวร่างกายเราสกปรก จะต้องดูแลร่างกายอย่างเดียวเลย ร่างกายสกปรกนะ แต่ไม่เคยดูหัวใจสกปรกเลย ถ้าหัวใจสกปรกนะมันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าหัวใจสะอาดนะ ร่างกายสกปรกมันออกมาจากใจไง ออกมาจากใจมันมีความมุ่งหมาย มันเห็นคุณประโยชน์ของใจ ทำสิ่งใดๆ ก็ได้

นี่เวลาตอนนี้ในทางการแพทย์เขาถึงบอกเลย คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายกันนะ ถ้าออกกำลังกายร่างกายจะแข็งแรง ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้จะไม่ค่อยมีถ้าออกกำลังกาย แต่ในศาสนานะออกกำลังใจ เดินจงกรม เห็นไหม เราเดินจงกรมออกกำลังกายนี่แหละ แต่เรื่องของหัวใจ แต่ถ้าเราเดิน

ดูสิโลกเขาเดินกัน เขาไปทำงานกัน เขาวิ่งแข่งกีฬากัน เขาวิ่งกัน เขาเดินชนกัน เขาเดินเพื่ออะไร? เดินเพื่อเอาเหรียญทอง แต่ถ้าเราเพื่อใจของเรา เราเดินจงกรม เหงื่อไหลไคลย้อยเลยนะ แต่หัวใจเวลาความคิดมันออกไป ความคิดมันออกมา แล้วมีสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะเข้าไปดูความคิดของเรา ความคิดที่มันเกิดกับเรา ความคิดที่มันเกิดมา สิ่งนี้มันเผาลนเรา

นี่ออกกำลังใจ กำลังใจคือมันพัฒนาของมันไง จิตที่มันอ่อนแอ จิตที่มันไม่เห็นคุณค่า จิตที่มันล้มลุกคลุกคลาน จิตที่มันเศร้าหมอง จิตที่มันมีความทุกข์ในหัวใจ พอมันให้สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่มันหมักหมมในหัวใจมันคลายตัวออก มันคลายตัวออกไป นี่หัวใจมันออกกำลังใจ ใจมันจะยืนตัวของมันขึ้นมา ใจมันจะเข้าใจตัวมันเองขึ้นมา อ๋อ.. เราบ้าคนเดียว

นี่จริงๆ นะ เวลาใครภาวนาเข้าไปแล้ว โง่.. ทำไมโง่อย่างนี้? ทำไมหัวใจโง่อย่างนี้ เราไปจับสิ่งที่ผิดหมดเลย เราไปคาดหมายสิ่งที่ผิดหมดเลย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ว่าจะไม่เป็นความจำเป็น ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัย ๔ ล่ะ? ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี่ปัจจัย ๔ การดำรงชีวิตมันต้องอาศัย แต่คำว่าอาศัยกับความจริงมันต่างกันนะ

คำว่าอาศัย ดูสิถ้าเรามีอาหารการกินเราก็กินของเราเพื่อดำรงชีวิต ถ้าไม่มีอาหารเราก็อดเอา แต่ชีวิตเราก็ไม่ถึงกับตาย มันเป็นมื้อนี้ขาดแคลน มื้อต่อไปจะมี เห็นไหม ปัจจัย ปัจจัยเครื่องอาศัย มันขาดแคลนบ้าง มันสมบูรณ์บ้าง มันไม่มีอะไรสมบูรณ์ตลอดไปหรอก มันก็เป็นสภาวะแบบนั้นแหละ แต่หัวใจ ดูสิออกซิเจน เห็นไหม หายใจขาดไม่ได้เลย ถ้าขาด ชีวิตนี้ขาดนะ

นี่เรื่องของความรู้สึกขาดไม่ได้เลย เวลาเราภาวนากัน เห็นเราออกไปจากกาย เห็นจิตออกไปจากกาย เห็นจิตยืนอยู่กลับเข้ามา มันมีกระแสกลับมาที่ตัวจิต ภพอยู่ที่นี่ สถานะของที่ตั้งมันอยู่ที่กลางหัวอกนี่ นี่ตัวจิตอยู่ที่นี่ อาการของใจมันออกไป อาการของใจ ฟังสิ อาการของความเห็น อาการของใจออกไป ไม่ใช่ตัวใจออกไปนะ ถ้าตัวใจเคลื่อนออกไปนี่มันตาย เวลาเราออกจากกาย ใจเคลื่อนออกจากกายไปนี่มันตาย แต่นี้อาการของใจ ดูสิเราคิด ดูความคิดเราสิ เราคิดถึงที่ไหนก็ได้ ความคิดออกไป

นี่ก็เหมือนกัน เราออกไปข้างนอก มันย้อนกลับมาเห็นจากภายใน ย้อนกลับมาๆ เราก็คิดว่าใจเราออกไป เห็นไหม นี่มันโง่ขนาดนั้น โง่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นใจ อะไรเป็นอาการของใจ สิ่งที่เห็นนี่อาการของใจทั้งนั้นแหละ เวลามันออกไปจากภายนอก แต่ตัวจิตมันอยู่ที่นี่ เพราะถ้ามันออกไปพลังงานมันต้องไม่มีสิ ดูสิคนตาย เห็นไหม ซากศพ เวลาจิตมันเคลื่อนออกไปนะ นี่ชีพ-จรไม่ทำงานแล้ว ร่างกายเริ่มม่านตาปิด หมดสภาพหมดเลย พอหมดสภาพขึ้นไป นี่สิ่งที่คำว่าสภาพมันอยู่ที่ไหนล่ะ? เวลาพระสารีบุตร เห็นไหม

“ชีวิตนี้คืออะไร?”

“ชีวิตนี้คือตัวพลังงาน ชีวิตนี้คือไออุ่น ชีวิตนี้คือตัวจิต ตัวไออุ่น”

“ไออุ่นตั้งอยู่บนอะไร?”

“ตั้งอยู่บนกาลเวลา อยู่บนอายุ อยู่บนการสืบต่อ ถ้าไม่มีการสืบต่อ จิตนี้มันหลุดออกไป นี่ชีวิตตายตรงนี้”

นี่ชีวิตของมนุษย์นะ แต่ถ้าชีวิตตัวจิตไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ชีวิตตัวจิตมันเคลื่อนไปไหนก็แล้วแต่ มันพร้อมอยู่เสมอไปไง นี่ผู้ที่ภาวนาเข้าไปเจอ เห็นตัวจิตตัวนี้ไง ถ้าตัวนี้ นี่กำลังใจ เราออกกำลังใจกัน ถ้าเราไม่เคลื่อนไหว การสละทานให้ใจมันเคลื่อนไหว เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เราใช้มือนะ นี่เรานึกเอาบอกอยากทำบุญ แล้วนึกให้ของลอยไปใส่บาตรพระ เป็นไปได้ไหมล่ะ?

เราอยากทำบุญ มันต้องขับเคลื่อนไปให้ร่างกายมันแสวงหาสิ่งที่เราอยากทำบุญมาก่อน แล้วทำบุญเราถึงสละออกไป นี่มันเนื่องด้วยกาย ของเนื่องด้วยกาย ดูพระรับประเคน เห็นไหม ถ้าเป็นอุบาสิกา รับด้วยผ้า เนื่องด้วยกาย แต่ถ้าเราปล่อยผ้ามา เนื่องด้วยกาย ของเนื่องด้วยกาย นี่ของเนื่องด้วยกายกับใจมันอยู่ด้วยกัน กายกับใจอยู่ด้วยกัน ชีวิตถึงสืบต่อ ถ้าจิตมันออกจากร่างนี้ไป แล้วขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โอกาส เห็นไหม เราจะฝึกกำลังใจได้ตรงนี้ไง

ถ้าโอกาสมันตายไปแล้ว พอตายปั๊บมันเปลี่ยนนะ ในปัจจุบันนี้เป็นนาย ก. นาย ก. นะ เวลาจิตมันออกจากร่างไป มันเปลี่ยนทันทีเลย มันเปลี่ยนทันทีเพราะอะไร? เพราะมันออกไปแล้ว มันเป็นสัมภเวสี มันเป็นอะไรก็แล้วแต่ นี่สัมภเวสียังเห็นนะ ดูสิเวลาจิตออกจากร่างไป มันจะเห็นว่าเรานอนอยู่นั่น เราออกมาแล้ว เห็นคนแยกไปเลย สื่อเขาไม่ได้แล้ว มันคนละมิติแล้ว สื่อกับมนุษย์ไม่ได้แล้ว เพราะมนุษย์เป็นมนุษย์ จิตนี้ออกไป จิตนี้ไม่มีร่างกายที่จะสื่อกับเขาอีกแล้ว พอสื่อกับเขาไม่ได้ นี่เป็นสัมภเวสีถ้ายังไม่ได้ไปเกิด

เกิดเป็นสัมภเวสี คำว่าสัมภเวสีเป็นจิตไง จิตที่จะไปเกิดอีก แต่ถ้ามีบุญกุศล เห็นไหม เกิดเป็นเทวดาเลย เป็นเทวดาแล้วเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเลย เกิดในครรภ์ต่อไปเลย หลุดออกจากนี้ไปมันก็เกิดเลย พอเกิดเลยมันได้สถานะใหม่ ถ้าออกมา ถ้าคลอดออกมา จากนาย ก. ก็เป็นนาย ข. เป็นนาย ค. เป็นนาย ง. นี่มันเป็นไปเรื่อยๆ ไง พอเป็นไปเรื่อยๆ ความรู้สึกความนึกคิดมันได้สิ่งแวดล้อมใหม่ เป็นสถานะใหม่ คนใหม่ ความคิดอันเดิมนี่มันจะสืบต่อไหม?

การฝึกฝนอันนี้เป็นจริตนิสัย ถ้าเป็นจริตนิสัยมันจะสืบต่อได้ สืบต่อ ดูสิดูพระโพธิสัตว์ เห็นไหม พระเวสสันดร จากพระเวสสันดรเกิดมาอีกทีหนึ่งก็เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะนี่เกิดต่อไป เพราะอะไร? เพราะมันสืบต่อๆ มันความดีหนุนความดีไง ถ้าความชั่วหนุนความชั่ว เราคิดสิ่งใดจะขัดอกขัดใจเราไปตลอด

สิ่งสภาวะแบบนี้ นี่บอกว่ามันไม่มี ตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญนั่นเป็นคาดหมาย ถ้าเป็นความจริงนะ มันตายแล้ว สิ่งที่ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดเพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาเข้าไปมันจะเห็นการเลาะออกไป การเลาะออกไปของเชื้อไข นี่เวลาแสดงธรรม ธรรมนี้คืออะไร? ธรรมนี้คือความรู้สึกที่อยู่ข้างๆ ตัวเรานี่แหละ แต่เราคาดหมายไม่ถึง ธรรมนี้ไม่ใช่ว่าอยู่บนสุดยอดนะ อยู่บนสวรรค์ อยู่บนพรหม อยู่นี่โอ๋ย! สูงมาก สูงส่งมาก สูงส่งมากด้วยความรู้สึกนะ แต่ถ้าสมบัติของมัน สิ่งที่ยึดติดของมันคือกลางหัวใจของเรานี่ไง

ดูสิเวลาความลึกของทะเล ความลึกของมหาสมุทรเขาวัดได้ เขาคำนวณได้ แต่ความลึกของใจ เวลาใจมันลึกมันตื้นต่างกัน คนลึก คนตื้น ถ้าคนตื้น สิ่งใดกระทบมันแสดงออก ถ้าคนลึก สิ่งใดมันไม่ค่อยแสดงออก แต่จะลึกจะตื้นขนาดไหน ลึกขนาดไหนกิเลสมันอยู่ตรงนั้น เวลาจิตเป็นสมาธิก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันเป็นความสงบโดยปกติ สงบเฉยๆ เข้ามา เหมือนเราแบกของหนักไว้ แล้ววางของหนักนั้นจิตมันก็สงบเข้ามา แต่ถ้ามันแบกของหนักด้วย จิตมันลึก เห็นไหม เวลามันลงเข้าไปมันจะลงไปในแนวลึก มันจะวูบเข้าไปในสิ่งที่ลึก จิตที่ตื้น จิตต่างๆ

นี่มันเป็นจริตเป็นนิสัยทั้งนั้นแหละ ของใครลึก ของใครตื้น เห็นไหม ดูสิครูบาอาจารย์ท่านบอกน้ำ เราขุดน้ำ บ่อน้ำตื้น บ่อน้ำลึก น้ำใครลึกขุดไปต้องเจอน้ำทั้งนั้น แต่ลึกหรือตื้นต่างกันเท่านั้นเอง ความเป็นสมาธิก็เหมือนกัน การวิปัสสนาก็เหมือนกัน การวิปัสสนา ถ้าจิตมันลึกเข้าไปขนาดไหน มันต้องเข้าไปถึงตัวเชื้อ เข้าไปถึงตัวภวาสวะ เข้าไปถึงตัวต้นเหตุ ตัวต้นเหตุคือความหลงผิดของใจ ใจมันหลงผิดนะ สักกายทิฏฐิความเห็นผิด

ความเห็นผิดนะ นี่ที่เห็นออกมาเป็นสมมุติเห็นผิดหมดเลย เห็นโดยสมมุติ จริงโดยตามสมมุติ ถ้าเราศึกษาธรรมกันมา เราศึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบัญญัติ สมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติเราก็ว่าเป็นสมมุติๆๆ สมมุติมันเป็นจริงตามสมมุติ ก็สมมุติซ้อนสมมุติไง ว่าสิ่งนี้เป็นสมมุติ เราว่าสมมุติ แล้วคำพูดเราก็เป็นสมมุติ ความรู้สึกเราก็เป็นสมมุติ สมมุติก็ซ้อนสมมุติเข้าไป ก็เลยกลายเป็นสมมุติ กลายเป็นการลูบคลำไป มันก็เป็นเรื่องของโลกๆ แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามาก่อน

นี่จิตจากที่มันเป็นอนิจจัง จิตที่มันเคลื่อนไหว จิตที่มันไม่มีพลังงาน มันทรงตัวของมันได้ นี่ออกกำลังใจ ถ้าใจมีกำลังขึ้นมา มันเป็นตัวของมันเองแล้ว ถ้าตัวของมันเองนะ ถึงจะเป็นสมมุติ เพราะมันเป็นอนิจจังอยู่ แล้วค่อยย้อนไปวิปัสสนา วิปัสสนา นี่สิ่งที่เข้าไปชำระความละเอียดจากภายใน นี่ความสะอาดของใจมันทำอย่างนี้ไง เวลาร่างกายสกปรก เราทำความสะอาดขนาดไหนมันก็สกปรกแต่ผิวภายนอก เพราะสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใต้ผิวหนังนี้มันขับออกมาเป็นขี้เหงื่อขี้ไคลตลอดไป

จิตเวลาทำความสงบของใจเข้ามา จิตเดิมแท้จะสว่างไสว จะผ่องใสขนาดไหน ผ่องใสนั่นแหละมันเป็นตัวสกปรกของใจ ความผ่องใสนี่เป็นความสกปรกของใจ เพราะไอ้ที่ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง ความผ่องใสมันก็มีคู่ความอับเฉา นี่เวลาอับเฉา เศร้าหมอง ความวิตกกังวล ความจิตเครียด มันอยู่ตรงนี้หมดเลย แล้วจิตมันเข้าไปผ่องใส เห็นไหม มันก็ทำความสะอาดได้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราวิปัสสนาเข้าไป ความสะอาดอันนี้ นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ข้ามพ้นอุปกิเลส

วิปัสสนูกิเลส ความผ่องใส โอภาสความสว่างไสวเป็นวิปัสสนูกิเลส กิเลสอันละเอียดไง มันเป็นความสกปรกจากภายใน เห็นไหม นี่ที่ว่าจิตสะอาดๆ สะอาดโดยสัมมาสมาธิอย่างหนึ่งนะ ถ้าสะอาดโดยปัญญา ปัญญามันจะใคร่ครวญเข้าไปทำความสะอาดอันนี้ ถ้าเห็นความสะอาดอย่างนี้เข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะเข้าใจเรื่องที่ว่าจิตเกิดแล้วไปไหนไง ความเห็นผิด สักกายทิฏฐิมาจากไหน? ถ้าผิดมันผิดไปจากไหน? ผิดไปจากเรานี่แหละ ผิดไปจากความโง่ในหัวใจนี่แหละ แล้วความโง่ในหัวใจเอาอะไรไปรักษามันล่ะ?

นี่ต้องมีธรรมะอย่างเดียวไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าลึกๆ นี่กราบธรรมๆ อยู่ มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่มันเป็นแร่ธาตุอยู่ภายนอก มันเป็นธรรมสาธารณะ นี่สภาวธรรมๆ เป็นธรรมสาธารณะ สาธารณะนี่เราใช้ประโยชน์ไป ถนนหนทาง สิ่งที่เป็นสาธารณูปโภคเป็นสาธารณะ เราก็มีสิทธิใช้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัฒนธรรมของชาวพุทธ วัฒนธรรมรองรับ

นี่ศาสนาพุทธๆ ศาสนาพุทธอยู่ที่ไหน? ศาสนาพุทธต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา นี่คือวัฒนธรรมของชาวพุทธ ชาวพุทธได้ทำบุญกุศลกัน ชาวพุทธได้สละทานกัน ชาวพุทธได้ถือศีลกัน ชาวพุทธได้ฟังธรรมกัน เห็นไหม นี่วัฒนธรรม วัฒนธรรมจากภายนอก แล้วถ้ามันย้อนกลับเข้ามา เวลามันทวนกระแสเข้าไปล่ะ? วัฒนธรรมมันเป็นสมบัติสาธารณะที่มันยังไม่ได้เป็นสมบัติของเรา แต่เราอยู่กับสาธารณะ นี่ปลาอยู่กับน้ำ ถ้าน้ำสะอาดปลาก็มีความสุข มีความเจริญ ถ้าน้ำสกปรก น้ำมีสารพิษ ปลาก็จะลอยตาย

วัฒนธรรมทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้เป็นคุณงามความดี สิ่งนี้มันก็เป็นเหมือนเราอยู่ในน้ำนั้น เป็นสมบัติสาธารณะ แล้วสมบัติของเราล่ะ? เราสละทานออกไปเป็นสมบัติของเรา เวลาเรารื่นเริงไหม? เราอาจหาญไหม? เรามีความสุขไหม? ดูสิเราเห็นสมณะ มาวัดมาวานี่วัดใจของตัว ใจมันถึงมีความชุ่มชื่นไหม? มีความพอใจไหม?

นี่บุญมันเกิดตรงนี้ไง ถ้าบุญมันเกิดตรงนี้ เราพอใจ เรามีความสุขกับเรา เราพอใจ เราได้ทำบุญกุศล นี่เราจะมีหลักของใจ ถ้าเราไม่ทำบุญกุศล จิตของเรามันว้าเหว่ จิตของเราไม่มีที่พึ่ง จิตของเรามันเศร้าหมอง จิตของเรามันลังเลสงสัย ถ้าเราทำของเรา ทำจนเคยชินขึ้นไป จิตมันมีที่ตั้ง มันมีสถานะของมัน เรามีสมบัติของเรา เราได้สละออกไปจากใจของเรา ใครมาหลอกเราไม่ได้หรอก

นี่ว่าเราทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำอะไรไม่ได้ นี่เรื่องของเขา เราสละออกไปจากมือของเรา เรานึกสินี่เป็นทิพย์ สิ่งที่สละมาแล้ว ทำมาแล้ว ๒๐ ปีข้างหน้า นึกเดี๋ยวนี้มันยังสดๆ ร้อนๆ เลย ของเก็บไว้มันเน่าบูดหมดแหละ แต่ถ้ามันสละออกไปแล้ว นี่คงที่อยู่ในหัวใจของเรา มันมีสมบัติของมัน นี่พูดถึงวัฒนธรรมของมัน เป็นสมบัติของเราจากภายใน แล้ววิปัสสนาไป ทำความสงบของใจเข้ามา อ๋อ! ความสงบเป็นอย่างนี้ จิตสงบเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ว่าว่างๆ ว่างๆ นี่ไม่เชื่อเขาเลย ว่างๆ เขาพูดออกมาเหมือนไก่ตาแตก

นี่ไก่ตาแตก เวลาไก่ตามันบอด เห็นไหม มันเคว้งคว้างของมัน นี่สมาธิที่เคว้งคว้าง สมาธิที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ สมาธิที่ไม่มีสติ สมาธิที่จับต้องอะไรไม่ได้ มันเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิเป็นอย่างนี้ นี่จิตเป็นสภาวะเป็นอย่างนี้ นี่จิตสว่าง ไม่สว่าง เรื่องของอำนาจวาสนา อย่าไปตกใจ ใครจะสว่างไสวขนาดไหนก็เรื่องของเขา ถ้าของเราสงบ สงบเฉยๆ ขอให้มีสติ ขอให้มีความรู้เข้าไป แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา

นี่สมบัติของเรา สมบัติของเราทั้งนั้นเลย นี่มรรคญาณของเรา วิปัสสนาเป็นของเรา เรารู้ของเรา สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังในหัวใจของเรา กิเลสแก้ในหัวใจของเรา ธรรมะอยู่ที่นี่ สมบัติประจำตัวเรา นี่กราบธรรมๆ แร่ธาตุจากภายนอก สสาร ความรู้สึก พุทธะจากภายใน แล้วมันทำลายกิเลสออกไปจนพุทธะผ่องใส พุทธะผ่องใสสะอาดเข้าไปเรื่อยๆ สะอาดเข้าไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วต้องทำลายมันหมดนะ

ครูบาอาจารย์ท่านบอก ปล่อยเข้ามาหมดแล้ว ว่างหมดเลยนะ จิตนี้มันทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้นัก? ทำไมมันมีความมหัศจรรย์ มันเวิ้งว้างไปหมด ไอ้ตัวเวิ้งว้างนี่ไอ้กองขี้ควาย ไอ้ตัวว่างๆ ไอ้ตัวที่ว่าง นี่สิ่งที่มันจากภายใน แล้วว่าว่างๆ ว่างๆ มันพูดกันไป มันเป็นภาษาสมมุตินะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้ว เวลาท่านบอกว่างมันเป็นความสมมุติ แต่ท่านไม่ได้พูดว่าว่างแล้วจิตไปอยู่ที่ว่างนั้นหรอก ท่านพูดถึงความว่างที่มันรู้กัน

แต่พวกเราว่าว่าง ต้องเราไปจับอยู่ที่ว่างเราถึงว่าว่าง เราถึงพูดคำว่าว่างได้ ถ้าไม่มีที่ว่าง เราจะเอาอะไรมาพูดว่าว่าง เราจะพูดมาเฉยๆ อ้าปากขึ้นมาเฉยๆ เราจะเอาอะไรมาเป็นสมมุติล่ะ? ก็ว่าว่างกันไป ก็ไปยึดไอ้ตรงนั้นอีก แต่ของครูบาอาจารย์ท่านไม่ยึดอย่างนั้น แต่มันเป็นการสื่อความหมาย สมมุติบัญญัติไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง มีความสุขอย่างยิ่ง เห็นไหม

เราออกกำลังใจกัน เราวิปัสสนากัน เราหาจุดยืนของเรา ทุกข์ประจำโลกนะ อริยสัจเป็นความจริง ชีวิตเป็นอย่างนี้ เราอยู่กับมันแล้วอย่าไปยึดมัน อยู่กับมันนะ รักษามันไป ใจเป็นอย่างนี้ แล้วรักษาอนาคต อนาคตนะ ไปขอให้ไปดี ทำขอให้ทำดี ถ้ามีความดีในหัวใจ ถ้าปัจจุบันสุคโต เห็นไหม ปัจจุบันปกติ แล้วมันจะไปไหนล่ะ? มันก็ไปสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้นแหละ ปัจจุบันดิ้นรน ปัจจุบันหัวใจมันว้าเหว่ นี่มันก็เศร้าหมอง คอตกอย่างนี้แหละ เราต้องแก้เดี๋ยวนี้นะ แก้ใจซะเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะไม่ต้องเป็นทาสกับมัน เอวัง